top of page

ดิน

 

          เกิดจากการผุพังของหินและแร่ธาตุที่เรียกว่าวัตถุต้นกำเนิดดิน  ซึ่งแตกหักออกเป็นชิ้นเล็กๆ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากน้ำ ลม และแสงแดด จนได้ต้นกำเนิดดิน และยังมีอินทรียวัตถุ เช่น ซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย ผุพัง เพราะจุลินทรีย์ย่อยสลายจนได้เป็น ฮิวมัส (Humus) ที่ทีสีดำหรือน้ำตาล เมื่อวัตถุ

ต้นกำเนิดดินและฮิวมัสผสมคลุกเคล้ากัน โดยมีจุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในดินช่วยย่อยสลายก็จะกลายเป็นดิน (Soil)

กระบวนการเกิดดิน

          ขั้นที่ 1  การผุพังอยู่กับที่ทำให้ชั้นหินแตกเป็นหิน

ก้อนใหญ่ และเมื่อถูกแสงแดดและฝนก็จะผุพังเพิ่มขึ้น

จนกลายเป็นชิ้นเล็กๆ

        ขั้นที่ 2  พืชจะงอกขึ้นตามรอยแตกของหิน แมลงเล็กๆ และสัตว์อื่นจะเข้ามาอาศัยตามรอยแตก ซึ่งเมื่อสัตว์และพืชตายจะสลายตัวกลายเป็นฮิวมัส

        ขั้นที่ 3  สัตว์เล็กๆ ในดินจะเคลื่อนที่ไปมา ทำให้ฮิวมัสผสมกับเศษหินและแร่กลายเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ เรียกว่า ดินชั้นบน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนประกอบของดิน

 

™ส่วนประกอบของดินที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช โดยทั่วไปดินที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกพืช ควรประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 4 ส่วน ดังนี้ 
  1. อนินทรีย์วัตถุ คือ ส่วนประกอบที่เกิดจากเศษหินและแร่ธาตุที่แตกหักผุพัง สลายตัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โดยธรรมชาติจากการกระทำของน้ำ ลม ความร้อนหนาว

สารเคมี และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ หรือแรงกดดันของโลก 
  2. อินทรีย์วัตถุ คือ ส่วนประกอบที่ได้จากการสลายตัวเน่าเปื่อยผุพังของซากพืช ซากสัตว์ 
  3. น้ำ คือ ส่วนที่เป็นน้ำที่อยู่ในช่องว่างในดิน ซึ่งเป็นตัวทำละลายแร่ธาตุอาหารของพืช 
  4. อากาศ คือ ส่วนที่เป็นอากาศซึ่งอยู่ในช่องว่างในดิน ประกอบด้วยก๊าซต่าง ๆ เช่น 
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซออกซิเจน ก๊าซไนโตรเจน เป็นต้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หน้าตัดข้างของดิน

            ลักษณะของดินจะแตกต่างกันตามลักษณะของธรณีสัณฐาน ซึ่งดินในระดับความลึกต่างๆ จะมีลักษณะต่างกัน

        1. ชั้น O หรือชั้นอินทรียวัตถุ  คือ ชั้นที่มีการสะสมของอินทรียวัตถุที่มาจากพืชและสัตว์ แล้วย่อยสลายกลายเป็นฮิวมัส ซึ่งเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช

          2. ชั้น A หรือชั้นดินแร่  ประกอบด้วยอินทรียวัตถุที่สลายตัวแล้วผสมคลุกเคล้ากับแร่ธาตุในดิน ดินชั้นนี้มักจะมีสีคล้ำ

          3. ชั้น B หรือชั้นสะสมของแร่  มีการสะสมของตะกอนและแร่ที่มีองค์ประกอบของเหล็ก อะลูมิเนียม คาร์บอเนต ซิลิกา ซึ่งถูกชะล้างมาจากดินชั้นบน ดินชั้นนี้จะมีเนื้อแน่น

มีความชื้นสูง ส่วนมากจะเป็นดินเหนียว

            4. ชั้น C หรือชั้นการผุพังของหิน  เป็นชั้นของหินผุ และเศษหินที่แตกหักจากหินดินดาน มีลักษณะเป็นก้อน เป็นผืน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ประเภทของดิน

แบ่งตามลักษณะของเนื้อดินได้เป็น 3 ประเภท คือ

™  1. ดินเหนียว หมายถึง ดินที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของอนุภาคดินเล็กกว่า 0.002 มม. เป็นพวกเนื้อดินละเอียดและมีการจับตัวกันอย่างหนาแน่น มีช่องว่างระหว่างเม็ดดินน้อย จึงสามารถอุ้มน้ำไว้ได้มากแต่การระบายถ่ายเทอากาศไม่สะดวก

™  2. ดินร่วน หมายถึง ดินที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของอนุภาค ตั้งแต่ 0.002 - 0.05 มม. ดินชนิดนี้จะมีช่องว่างระหว่างเม็ดดินมาก ทำให้น้ำซึมได้สะดวกแต่การอุ้มน้ำน้อยกว่าดินเหนียว

™   3. ดินทราย หมายถึง ดินที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของอนุภาค ตั้งแต่ 0.05 - 2.0 มม.เนื้อดินมีลักษณะหยาบ เม็ดดินไม่เกาะตัวกัน ทำให้การระบายน้ำได้เร็วมาก

จึงไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้

      สีของดิน

™    

ดินที่มีสีเหลืองหรือสีแดง เป็นดินที่มีการผุพังสลายตัวสูง มีพวกออกไซด์ของเหล็กปนอยู่มาก มักพบบริเวณที่สูง

ตามเนินเขา ™

 

 

 

 

 

 

 

 

™

 

 

 

 

 

ดินที่มีสีเทาปนน้ำเงิน เป็นดินที่มีน้ำขังอยู่ตลอดหรือระบายน้ำไม่ดี มีสารประกอบของเหล็กที่มีสีเทา พบได้บริเวณ

นาข้าวที่มีน้ำขัง

 

™ ™

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดินสีประ หรือดินที่มีสีผสมกันนั่นเอง แสดงว่าเป็นดินที่อยู่ในสภาพที่มีน้ำแช่ขังสลับกับสภาพดินที่แห้ง มักพบใน

ดินนาซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร

  ความเป็นกรด-เบส ของดิน

™         ความเป็นกรด-เบสในดินจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุและการเจริญเติบโตของพืช  พืชหลายชนิดเจริญเติบโตได้โดยช่วง  pH  ที่เหมาะสมเท่านั้น  และนอกจากนั้นความเป็นกรด-เบสในดินยังมีอิทธิพลต่อการย่อยสลายอินทรีย์สารของจุลินทรีย์ในดินอีกด้วย

 

การทดสอบค่า pH

1. ใช้กระดาษลิตมัสสีน้ำเงินหรือสีแดง นำกระดาษลิตมัสทดสอบกับสารที่สงสัย ถ้าเป็นกรดจะเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีน้ำเงินเป็นสีแดง และถ้าเป็นเบสจะเปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีแดงเป็นสีน้ำเงิน

     2. ใช้กระดาษยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์ โดยนำกระดาษยูนิเวแซลอินดิเคเตอร์ทดสอบกับสารแล้วนำไปเทียบกับแผ่นสีที่ข้างกล่อง

     3. ใช้น้ำยาตรวจสอบความเป็นกรด-เบส เช่น สารละลายบรอมไทมอลบลูจะให้สีฟ้าอ่อนในสารละลายที่มี pH มากกว่า 7 และให้สีเหลืองในสารละลายที่มี pH น้อยกว่า 7 

    - สารละลายใดที่มีค่า pH น้อยกว่า 7 สารละลายนั้นมีสมบัติเป็นกรด

    - สารละลายใดที่มีค่า pH มากกว่า 7 สารละลายนั้นมีสมบัติเป็นเบส

    - สารละลายใดที่มีค่า pH เท่ากับ 7 สารละลายนั้นมีสมบัติเป็นกลาง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

      การปรับปรุงคุณภาพของดิน

 

         ดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด  วิธีการแก้ ใช้หลักการเดียวกับการทำสารที่เป็นกรด ให้มีสภาพเป็นกลาง  ด้วยการใส่สารที่เป็นด่างลงไป สารที่ใช้กันทั่วไปได้แก่ ปูนขาว หรือดินมาร์ล ( ดินมาร์ล คือ ดินที่ได้จากการสลายตัวของหินปูน ซึ่งมีแคลเซียมคาร์บอนเนตเป็นองค์ประกอบ )

 

 

 

 

 

 

 

 

         

          ดินเค็ม หรือดินเป็นเบส พืชไม่สามารถดูดน้ำจากดินมาเลี้ยงลำต้นได้ทำให้ต้นพืชเหี่ยวและใบไหม้ การปรับปรุงส่วนใหญ่จะใช้น้ำจืดชะล้างแล้วทำทางระบายน้ำเกลือทิ้ง หรือใส่แคลเซียมซัลเฟต หรือผงกำมะถัน

เพื่อปรับสภาพดินให้กลายเป็นเกลือโซเดียมซัลเฟตที่น้ำชะล้างออกได้ง่าย

 

 

 

 

 

 

 

         

 

             ดินฝาด เป็นดินที่มีสภาพเป็นเบสมาก ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชเช่นกัน แต่เป็นสภาพของดินที่แก้ไขปรับปรุงได้ยาก

 

สรุป

™        ดินเป็นผลโดยตรงของวัตถุต้นกำเนิดดิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหินและแร่ที่ผุพัง สลายตัวแล้วรวมกับเศษซากพืชและสัตว์ที่ทับถมอยู่ในดิน การผสมคลุกเคล้าเคล้าขององค์ประกอบดังกล่าว จะมีอัตราส่วนผสมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาวะและบริเวณที่เกิด

 

 

 

bottom of page